'วุ้นตาเสื่อม'ภัยเงียบใกล้ตัวมนุษย์เงินเดือน
ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนทำงานในเมืองยุคปัจจุบัน
ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น
ประกอบกับสมัยนี้ยังมีสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตออกมาใช้แพร่หลายไปทั่ว
เกิดเป็นค่านิยมสังคมก้มหน้าเสพติดเทคโนโลยีจนแทบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านสุขภาพหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ “ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อม” ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงาน
ปกติแล้วในลูกตากลมๆ
ของเราจะมีน้ำวุ้นตาเป็นสารใสคล้ายเจลอยู่ภายในลูกตาส่วนหลัง
คั่นกลางระหว่างเลนส์กับจอประสาทตา ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน ให้สารอาหารแก่จอประสาทตาและเซลล์ผนังลูกตาชั้นใน
และช่วยพยุงลูกตาให้คงรูปเป็นทรงกลม แต่เมื่อน้ำวุ้นตาเสื่อมลง
จากลักษณะที่เป็นวุ้นกลายเป็นของเหลว เมื่อเรากลอกตาวุ้นเหล่านี้ก็จะกระเพื่อม
จึงเห็นเหมือนมีเงาลอยไปมา ซึ่งอาจมีรูปร่างแตกต่างกันหลายรูปแบบ เช่น จุดเล็กๆ
คล้ายลูกน้ำ วงกลม หรือเป็นเส้นๆ คล้ายหยากไย่
หากเป็นมากจะมีอาการเห็นแสงสว่างคล้ายสายฟ้าแลบ
และรู้สึกเหมือนขอบเขตการมองเห็นด้านข้างจะแคบลง
เนื่องจากจอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก
โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุจากการเสื่อมตามธรรมชาติของเนื้อเยื่อแต่ก็มีภาวะบางอย่างที่ทำให้เป็นโรคนี้ได้เร็วทั้งที่อายุไม่มากเช่นสายตาสั้นมากๆเคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะรวมถึงคนที่ต้องใช้สายตามากๆเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะคนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์ทำงานบีบคั้นต้องจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆ
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานและกรรมการผู้บริหารบริษัท เอเชียน
ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน)
นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้คิดค้นวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลจากสารสกัดธรรมชาติเพื่อถนอมดวงตา
กล่าวว่า จากการศึกษาของการแพทย์สาขาภูมิคุ้มกันวิทยาพบว่า
สาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตารวมถึงอาการน้ำวุ้นในตาเสื่อมนั้น
เกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวในตัวเราสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (Pro-imflammatory
cytokines) มากเกินไป ดังนั้น
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและแก้ไขความผิดปกติเหล่านี้ก็คือ
การกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ลดการหลั่งสารเหล่านี้ให้น้อยลงจนเข้าสู่ภาวะสมดุล
การวิจัยล่าสุดของคณะนักวิจัยของบริษัทเอเชียนฯได้ค้นพบนวัตกรรมชื่อว่า“APCOcapsule”และ “APCOessence”
ที่สกัดจากพืชธรรมชาติ 5ชนิด มังคุด งาดำ
ถั่วเหลือง ฝรั่ง และบัวบก
เมื่อนำมาเสริมฤทธิ์กันจะมีประสิทธิภาพในทำให้เม็ดเลือดขาวลดการหลั่งสารก่อการอักเสบลง
โดยผลการทดสอบจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชี้ว่า สารที่ก่ออาการอักเสบในเม็ดเลือดขาวมีอัตราลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้ IL-1-beta ลดลง 6%, IL-3 ลดลง 27%, IL-17 ลดลง 45%,
TNF-alpha ลดลง 93% และ IFN-gamma ลดลง 10%
จึงสามารถช่วยป้องกันและทำให้อาการน้ำในวุ้นตาเสื่อมรวมถึงความผิดปกติอื่นๆ
ที่เกิดขึ้นกับดวงตาดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อาการตาแห้ง ต้อกระจก ต้อหิน
ม่านตาอักเสบ จอประสาทตาเสื่อม และความผิดปกติที่สืบเนื่องมาจากอาการแพ้ภูมิตัวเอง
เช่น เบาหวานขึ้นตา พังผืดที่ตา เป็นต้น
จากประสบการณ์ตรงของมนุษย์เงินเดือนที่เกิด
“ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อม” คุณกนกพร ศรีจันทร์
เล่าให้ฟังว่า มีปัญหาวุ้นตาเสื่อมมาตั้งแต่อายุ 40 ปี “แรกๆ
จะเห็นเป็นหยากไย่ลอยไปมา และมีจุดดำๆ 2-3 จุด เวลากระพริบตาจะรู้สึกหนืดๆ ที่ดวงตา
ไปตรวจที่โรงพยาบาลหมอบอกว่า ไม่มีทางรักษาให้หายขาดหรือดีขึ้นได้
มีแต่จะเสื่อมไปเรื่อยๆ
ทำได้แต่คอยสังเกตอาการและบรรเทาอาการด้วยน้ำตาเทียมเท่านั้น เป็นแบบนี้มา 13 ปีแล้ว
ไม่มียาหรืออะไรที่ช่วยได้เลย”
“ตอนเป็นแรกๆ อาการส่วนใหญ่แค่ทำให้รำคาญ
แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตมากเท่าไหร่จนกระทั่งเป็นมากขึ้นมองเห็นจุดดำเพิ่มเป็นสิบๆ
จุดเต็มไปหมด และยังเห็นแสงแลบบ่อยขึ้น
ก็ยิ่งกลัวเพราะโรคนี้ถ้าเป็นรุนแรงจะมีสิทธิ์ที่จะตาบอดได้เหมือนกัน
เวลาอ่านหนังสือ ดูทีวี จะมีปัญหามาก ยิ่งเวลาออกแดด ก็จะสู้แสงไม่ค่อยได้ด้วย”
ด้านคุณอภิญญา อุฬุมปานนท์ เล่าว่ามีปัญหานี้เหมือนกัน
ด้วยอาชีพนักบัญชีทำให้ต้องอยู่กับตัวเลขใช้คอมนานๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน
พอมาเป็นโรคนี้แล้วค่อนข้างลำบากมาก มองอะไรก็ไม่ชัด แสบตาตลอด
ยิ่งเวลาขับรถโดยเฉพาะตอนกลางคืนจะทำแทบไม่ได้เลย
เพราะจะแยกแสงไฟบนถนนไม่ได้ว่าเป็นแสงมาจากไหน หมอก็ได้แต่ให้หยอดน้ำเทียมบรรเทาอาการ
และแนะนำให้พักผ่อนมากๆ และใช้สายตาให้น้อยลงซึ่งก็ทำได้ยากด้วยหน้าที่การงาน
ศ.ดร.พิเชษฐ์ ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า
ในภาวะทำงานที่หลีกเลี่ยงการใช้สายตาเป็นเวลานานๆ ได้ยาก
สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อป้องกัน ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อม คือ พักผ่อนให้เพียงพอ
ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และที่สำคัญ
ต้องรู้จักใช้ดวงตาอย่างทะนุถนอม ไม่ควรใช้สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอนานๆ
อาจใช้วิธีพักสายตาด้วยการหลับตาสักครู่ หรือปรับโฟกัสมองไกลๆ บ้าง
ร่วมกับการนวดคลึงเบาๆ และไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เพราะการตรวจพบตั้งแต่แรกเริ่มจะช่วยให้การดูแลรักษาทำได้ง่ายขึ้น
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาสามารถเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ฟรี
ณ ศูนย์รับปรึกษาปัญหาข้อ เข่า เบาหวานและดวงตา ถนนรัชดาภิเษก โทร 1154
ที่มา : คมชัดลึก ( Kom Chad Luek) /
http://www.msn.com/th-th/lifestyle/health/วุ้นตาเสื่อมภัยเงียบใกล้ตัวมนุษย์เงินเดือน/ar-BBmi55J?ocid=wispr
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น