ในระหว่างการตั้งครรภ์ของคุณแม่นั้น
แม้ทีมแพทย์และพยาบาลของศูนย์สุขภาพสตรีจะให้การดูแลที่ดีเยี่ยมอย่างไร
และมารดาเองจะมีความระมัดระวังมากขนาดไหน
บางครั้งก็ไม่สามารถเลี่ยงภาวะเสี่ยงบางอย่างได้
ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์เกิดได้จากปัจจัยหลายด้าน
โดยความเสี่ยงแจเกิดขึ้นได้ตลอดอายุการตั้งครรภ์ คือปัจจัยที่สำคัญจากตัวคนไข้เองที่มักเสี่ยงจากโรคประจำตัวและวัยของคนไข้
ซึ่งหากคนไข้อายุ 35 ปีขึ้นไปก็จะเริ่มมีความเสี่ยง
เช่น เสี่ยงที่ลูกอาจจะเป็นดาวน์ซินโดรม อาจเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือเบาหวาน
รวมทั้งอาจมีปัญหาระหว่างคลอด เนื่องจากอายุมาก ไม่ค่อยมีแรงเบ่ง
ทำให้ใช้เวลาในการเบ่งคลอดนานเกินไป ลูกอาจจะขาดออกซิเจนระหว่างรอคลอดได้ เป็นต้น
กระบวนการในการประเมินโรคเสี่ยงจะเริ่มต้นตั้งแต่ทีมพยาบาลผู้ป่วยนอกรับมารดาตั้งครรภ์เข้ามา
จะมีการตรวจร่างกาย คัดกรองภาวะเสี่ยง ถ้ามารดาตั้งครรภ์อยู่ในกลุ่มอายุ 35
ปีขึ้นไป พยาบาลจะประทับตราในใบฝากครรภ์ว่าเป็น “High risk” จากนั้นจะส่งต่อให้แพทย์ เพื่อตรวจเพิ่มเติม ดูแลเรื่องการรักษา
และให้คำปรึกษา เช่น ถ้าพบว่าเป็นเบาหวาน
สูติแพทย์จะส่งคนไข้ไปปรึกษาแพทย์ศูนย์เบาหวาน
แพทย์จากศูนย์เบาหวานจะคอยดูแลภาวะเบาหวาน สูติแพทย์ดูแลเรื่องการฝากครรภ์ การคลอด
หลังจากนั้นจะแจ้งกุมารแพทย์ว่าคนไข้คนนี้เป็นเบาหวาน
เพราะเด็กที่ออกมาอาจจะขาดน้ำตาล กุมารแพทย์จะได้เตรียมตัวก่อน
หรือกรณีที่ลูกเสี่ยงจะเป็นดาวน์ซินโดรม แพทย์จะคัดกรองภาวะเสี่ยงนี้
โดยแนะนำให้เจาะน้ำคร่ำตรวจหาโครโมโซมเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 4 เดือนครึ่ง
แต่การเจาะน้ำคร่ำก็มีโอกาสที่เด็กในท้องจะขยับไปโดนเข็มและเสียชีวิตได้
จึงขึ้นอยู่กับคนไข้ว่าจะเจาะหรือไม่เจาะก็ได้
โดยปัจจุบันนี้มีนวัตกรรมใหม่ที่สามารถตรวจได้จากเลือดของมารดาแล้ว
สามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 3 เดือน
หรือระหว่างที่ฝากครรภ์หากแพทย์พบความผิดปกติ
เช่น น้ำหนักตัวคนไข้ไม่ขึ้น มีเลือดออกผิดปกติ หรือสงสัยเรื่องความผิดปกติของทารก
ก็จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอัลตราซาวน์มาช่วยดูให้ว่ามีอะไรผิดปกติจริงหรือไม่
ซึ่งโรงพยาบาลก็มีเครื่องอัลตราซาวน์ 4 มิติ
ที่ช่วยให้ผลการตรวจชัดเจนขึ้น โดยกลุ่มเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้
ทีมสูติแพทย์ประจำศูนย์ฯ สามารถดูแลได้เป็นอย่างดีร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ
โรคเสี่ยงที่พบบ่อยคือเบาหวานและครรภ์เป็นพิษ
ครรภ์เป็นพิษคือการมีภาวะความดันสูงขณะตั้งครรภ์ สามารถเกิดขึ้นเองได้
มักเป็นกับคนไข้ตัวใหญ่ น้ำหนักมาก ซึ่งจะเกิดขึ้นช่วงไตรมาศที่ 3
ถ้าตรวจพบ ต้องเฝ้าระวัง บางคนต้องให้ยาลดความดัน
บางคนอาจต้องให้คลอดเพื่อให้โรคหาย ถือเป็นโรคเสี่ยงที่อันตรายที่สุด
เพราะถ้าแพทย์รู้ช้า ความดันคนไข้สูงมากๆ จะทำให้ชักได้
และอาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ทั้งแม่และลูก
เมื่อคนไข้ที่มีโรคเสี่ยงเข้ามาเป็นผู้ป่วยใน
จะนำเข้ามาที่ห้องรอคลอด
พยาบาลจะมีกระบวนการในการติดตามอาการและภาวะเสี่ยงทุกเรื่องที่อาจจะเกิดกับคนไข้
เช่น เรื่องทารกคลอดก่อนกำหนด ภาวะเบาหวาน ฯลฯ ในห้องรอคลอดจะมีเครื่องมือประเมิน
สำหรับวางแผนการดูแลเพื่อให้สอดคล้องกับการรักษาของแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการยับยั้งคลอด
หรือการดำเนินการคลอด โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าคนไข้สามารถคลอดเองได้หรือไม่
หากจำเป็นต้องผ่าคลอดก็จะส่งต่อไปที่ห้องผ่าตัด ให้ทางทีมวิสัญญีแพทย์
ทีมพยาบาลผ่าตัด ได้เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเมื่อผ่าตัดเสร็จ
ข้อมูลจะถูกส่งไปให้ที่วอร์ด เพราะวอร์ดต้องดูแลคนไข้ต่อ
ถ้าคนไข้มีภาวะเสี่ยงตกเลือด ก็จะมีข้อมูลส่งต่อมาที่สูติแพทย์
ทีมจะต้องเน้นดูแลเรื่องภาวะตกเลือด เป็นต้น
ซึ่งหากแพทย์พบมารดาตั้งครรภ์ที่มีโรคเสี่ยงเหล่านี้ จะนำมาหารือกันในทีม
เพื่อหาทางป้องกันในคนไข้รายอื่นๆ ต่อไป โดยจะเรียกทีมนี้ว่า ทีม PCT
(Patient Care Team) ทำหน้าที่ทบทวนปัญหาเป็นกรณีศึกษา
โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาร่วมด้วย
และกรณีเหล่านี้จะมีการรายงานถึงผู้บริหารระดับสูงทุกครั้ง
การประเมินและการดูแลรักษามารดาตั้งครรภ์ที่มีโรคเสี่ยงของโรงพยาบาลเปาโลนั้น
เน้นการทำงานเป็นทีม โดยให้ความสำคัญกับการประเมินภาวะเสี่ยงตั้งแต่เริ่มต้น
ดูแลรักษาอย่างเป็นระบบ
โดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และทีมพยาบาลที่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง
มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พร้อมและทันสมัย
เมื่อผ่านกระบวนการดูแลรักษาทั้งหมดมาสู่การประเมินในท้ายที่สุดแล้ว
คนไข้ก็จะได้กลับบ้านไปพร้อมกับลูกอย่างปลอดภัย
ที่มา :
นพ.สุระ โฉมแฉล้ม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น