วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การตั้งครรภ์ไม่มีตัวเด็ก




ความสุขทางโลกบางครั้งเป็นเพียงความสุขชั่วคราว ที่เวียนผ่านมาแล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์เราตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษนั่นคือการมีทายาทไว้สืบสกุล นำมาซึ่งความสุขของผู้ให้กำเนิด รวมถึงบรรดาญาติมิตรสหาย แต่บางครั้งความปลาบปลื้มยินดีต้องจบลงอย่างรวดเร็วด้วยภาวะ ที่เรียกว่า การตั้งครรภ์ไม่มีตัวเด็ก
           การตั้งครรภ์ไม่มีตัวเด็ก (Anembryonic Pregnancy) หรือที่รู้จักกันว่า ท้องลม, ท้องหลอกถือเป็นความผิดปกติแบบหนึ่งของการตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดมาจากการปฏิสนธิที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้การสร้างเซลล์ต่างๆ นั้นไม่ครบถ้วน สาเหตุที่แท้จริงไม่สามารถระบุได้ ภาวะนี้จึงเกิดขึ้นได้กับหญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นวัยทีน หรือวัยทำงาน 
            หญิงที่พบภาวะนี้จะมีอาการเหมือนหญิงตั้งครรภ์ปกติทั่วไป นั่นคือ ประจำเดือนขาด แพ้ท้อง เมื่อตรวจการตั้งครรภ์ในช่วงแรกก็พบว่าตั้งครรภ์ ซึ่งการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวเด็กนี้จะดำเนินไปจนอายุครรภ์ผ่านไป 2-3 เดือนก็จะเข้าสู่ภาวะหยุดการเจริญเติบโต และเกิดการแท้งในที่สุด


             ภาวะการตั้งครรภ์ไม่มีตัวเด็กนี้ สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์อ่อนๆ ประมาณในช่วง 6-7 สัปดาห์ โดยการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ผ่านทางช่องคลอด ซึ่งจะทราบได้ว่ามีการตั้งครรภ์จริงในมดลูกหรือไม่ หากพบภาวะการตั้งครรภ์ไม่มีตัวเด็กจะมีเพียงแต่ถุงการตั้งครรภ์ ไม่พบตัวเด็กอยู่ภายใน หรือในบางกรณีอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการนำ เช่น ปวดหน่วงท้องน้อย เลือดออกทางช่องคลอด เมื่อทำการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ ก็สามารถพบภาวะดังกล่าวได้เช่นกัน 
               เนื่องจากภาวะนี้เกิดจากกระบวนการสร้างเซลล์ที่ไม่สมบูรณ์ จึงเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงหรือแก้ไขให้กลับมาสมบูรณ์ไม่ได้ แนวทางการรักษาหากพบภาวะตั้งครรภ์ไม่มีตัวเด็กจึงจำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ รอความพร้อมเพื่อเริ่มตั้งครรภ์ครั้งใหม่ 
               ในปัจจุบันพบหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่แพทย์ต้องสร้างความเข้าใจและยอมรับให้กับหญิงตั้งครรภ์และญาติๆ หลายครั้งพบว่าหญิงตั้งครรภ์เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา การดูแลภาวะจิตใจจึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ การให้กำลังใจกันระหว่างคู่สมรส จึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมไปถึงสุขภาพกายที่สดชื่น สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่เครียดจนเกินไป และเข้ารับคำปรึกษาสภาวะการตั้งครรภ์จากสูตินรีแพทย์ก็จะมีโอกาสกลับมาประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ครั้งต่อๆ ไปได้ 



ที่มา นพ.สุระ โฉมแฉล้ม  สูตินรีแพทย์ ศูนย์สุภาพสตรี รพ.เปาโล เมโมเรียล พหลโยธิน

      :  คมชัดลึกออนไลน์ http://www.komchadluek.net/detail/20140731/189213.html

ง่วงนอนบ่อย อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ส่ออาการเจ็บป่วยได้หลายโรค !



          ไม่ใช่แค่อาการนอนไม่หลับ หรือนอนไม่พอเท่านั้น ที่ทำให้เรารู้สึกง่วงนอนบ่อย หรือรู้สึกอ่อนเพลียไปทั้งวัน แต่อาการง่วงนอนบ่อยอาจพยายามบอกสัญญาณของโรคเหล่านี้อยู่ก็เป็นได้

          ฮ้าว...นี่ไม่รู้ว่าอ้าปากหาวไปแล้วรอบที่เท่าไร แต่ใครที่มีอาการง่วงนอนบ่อย ๆ อย่างนี้อย่าชะล่าใจเชียวค่ะ เพราะจากที่สืบข้อมูลมาก็ทำให้รู้ว่า อาการง่วงนอนบ่อยหรือคนที่รู้สึกเพลียไปตลอดทั้งวัน นั่นอาจเป็นสัญญาณของร่างกายที่ร้องบอกว่ามีโรคภัยแอบซ่อนอยู่ในตัวเราแล้วก็ได้นะ ที่สำคัญเจ้าอาการง่วงนอนบ่อยยังบอกสัญญาณได้หลายโรค ดังนี้เลย


1. นอนกรน
          อาการนอนกรนหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) อาจทำให้รู้สึกง่วงนอนในตอนกลางวันมากกว่าปกติ เนื่องจากอาการนอนกรนบั่นทอนคุณภาพการนอนที่ดี ทำให้ผู้ที่นอนกรนไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและอยากนอนหลับในตอนกลางวันนั่นเอง

2. โรคนอนไม่หลับ
          สำหรับคนที่นอนกระสับกระส่าย หรือนอนไม่ค่อยหลับเลยในแต่ละคืน กลุ่มนี้ก็อาจเสี่ยงโรคนอนไม่หลับ ซึ่งก็ส่งผลมาถึงอาการง่วงนอนบ่อย ๆ ในช่วงเวลากลางวันได้เช่นกัน โดยโรคนอนไม่หลับยังส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายในระบบการทำงานต่าง ๆ อาจทำให้สมองทำงานช้าลง และชักนำให้เกิดโรคอ้วนได้ด้วย ดังนั้นหากพอจะรู้ตัวว่าตกอยู่ในอาการนอนไม่หลับแล้ว ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาโรค ก่อนที่ร่างกายจะทรุดโทรมมากไปกว่านี้ดีกว่า

3. ภาวะโลหิตจาง
          คนที่มีภาวะโลหิตจางหรือในผู้หญิงที่มีประจำเดือนมากผิดปกติก็อาจรู้สึกง่วงนอนบ่อย ๆ ได้ เนื่องจากภาวะที่ร่างกายมีระบบไหลเวียนเลือดไม่สมบูรณ์อาจนำมาซึ่งอาการอ่อนเพลีย และทำให้รู้สึกอยากนอนหลับพักผ่อนมากกว่าปกติ ซึ่งหากสงสัยว่าตัวเองอาจเป็นโรคนี้ ก็ควรเสริมธาตุเหล็กให้ร่างกายเยอะ ๆ หรือเพื่อความสบายใจจะไปพบแพทย์ก็ยิ่งดีต่อตัวเอง

4. โรคไทรอยด์
          โรคไทรอยด์เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ไม่ว่าจะเป็นภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกาย หรือมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ก็อาจทำให้ร่างกายแสดงอาการของโรคมาในรูปแบบอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนบ่อย ๆ จนผิดปกติได้ ซึ่งหากต้องการเช็กให้แน่ใจว่าเป็นโรคไทรอยด์หรือไม่ อาจดูอาการอื่น ๆ เช่น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างผิดสังเกต หรือมีอาการแขนขาไม่มีแรงร่วมด้วย

5. โรคเบาหวาน
          อาการอ่อนเพลียและง่วงนอนบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ โดยหากมีอาการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ เหนื่อยง่าย หิวน้ำบ่อยขึ้น กินจุบจุบในขณะที่น้ำหนักตัวลดฮวบฮาบ การมองเห็นพร่ามัว แผลหายช้า หรืออาการชาที่ปลายมือและเท้าร่วมด้วย ก็ค่อนข้างจะชัดเจนว่าคุณอาจมีภาวะโรคเบาหวานเล่นงานเข้าให้แล้วง่วงนอนบ่อย

6. โรคเครียด
          อาการนอนไม่หลับก็อาจเป็นสัญญาณของโรคเครียดได้ เนื่องจากความเครียดจะส่งผลกระทบมาถึงระบบฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย และส่งผลต่อมายังระบบการทำงานอื่น ๆ ในตัวของเรา เป็นที่มาของอาการนอนไม่หลับ อ่อนเพลีย อาหารไม่ย่อย ประจำเดือนคลาดเคลื่อน สมรรถภาพทางเพศเสื่อม เมื่อเกิดอาการแบบนี้ซ้ำ ๆ ก็จะมีผลกระทบต่อร่างกายตั้งแต่ภูมิคุ้มกันที่จะอ่อนแอลงจนเป็นหวัดหรือท้องเสียได้ง่าย ๆ ไปจนถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ อย่างโรคหัวใจและหลอดเลือดเลยทีเดียว

7. โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
          โรคอ่อนเพลียเรื้อรังหรือโรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) เป็นภาวะที่น้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้ไร้เรี่ยวแรงทำอะไรตลอดทั้งวัน ซึ่งแค่ชื่อก็บอกโต้ง ๆ อยู่แล้วนะคะว่า หากมีภาวะของโรคนี้ติดตัว อาการหลัก ๆ ที่จะแสดงออกคงเพลีย ๆ ง่วง ๆ ไปทั้งวัน
          อีกทั้งโรคอ่อนเพลียเรื้อรังยังอาจทำให้นอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืนได้อีกด้วยนะ ตอกย้ำซ้ำเติมให้ตอนกลางวันรู้สึกง่วงนอนจริงอะไรจริงไปกันใหญ่
          นอกจากนี้แล้วอาการง่วงนอนบ่อย ๆ ยังอาจเกิดขึ้นได้กับคนที่อดนอนหรือนอนน้อยสะสมเป็นเวลานาน รวมทั้งคนที่ทำงานเป็นกะ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด คนที่มีอาการเมาค้าง และกลุ่มคนที่ขาดการออกกำลังกาย จนร่างกายไม่ไหวที่จะกระปรี้กระเปร่าด้วยนะคะ
          ดังนั้นเพื่อความชัวร์ว่าอาการง่วงนอนบ่อยของเราส่อโรคหรือเปล่า ก็อาจจะต้องดูอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือหากสังเกตเห็นความผิดปกติในร่างกาย จะไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กโดยละเอียดเลยก็น่าจะชัดเจนที่สุด

   

จูบสัตว์เลี้ยงบ่อย ๆ อันตราย เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร !




 
          เชื้อโรคจากสัตว์เลี้ยง อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบจูบสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ
   
          ความน่ารักของน้องหมาและน้องแมวทำให้บรรดาคนรักสัตว์อดใจไม่ไหวที่จะกอดและจุ๊บเจ้าสัตว์สี่ขาสักทีสองที โดยที่ไม่รู้เลยว่าพฤติกรรมจูบสัตว์เลี้ยงแบบนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารให้เราได้ ซึ่งข้อมูลนี้ก็ไม่ได้ถูกอ้างถึงแบบลอย ๆ นะคะ มีหลายงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นเลยว่า เชื้อโรคจากสัตว์เลี้ยงอาจเป็นอันตรายกับสุขภาพได้อย่างคาดไม่ถึง

          ผลวิจัยล่าสุดที่ศึกษาโดยมหาวิทยาลัย Kitasato ประเทศญี่ปุ่น เผยว่า สิ่งปฏิกูลของสัตว์ทั้งในรูปของเหลว เช่น น้ำลาย ปัสสาวะ เลือด น้ำหนอง และสิ่งปฏิกูลของแข็งอย่างอุจจาระ อาจส่งต่อเชื้อโรคที่ทำให้คนเลี้ยงสัตว์เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ง่ายขึ้น
   
          โดยผลการศึกษาพบว่า ในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เหล่านี้ แอบแฝงเชื้อแบคทีเรีย helicobacter heilmanni เชื้อแบคทีเรียตัวร้ายที่พบในร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารกว่า 60% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการศึกษาของเยอรมนีก่อนหน้านี้ที่พบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารกว่า 70% ที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ในตัว เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงหรือมีพฤติกรรมคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงแทบทั้งนั้น
   
          ซึ่งนอกจากนี้แล้ว พฤติกรรมที่จะเพิ่มความเสี่ยงการได้รับเชื้อแบคทีเรีย helicobacter heilmanni จากสัตว์เลี้ยงโดยตรงก็มีดังต่อไปนี้ด้วย

            - จูบสัตว์เลี้ยงหรือปล่อยให้สัตว์เลี้ยงเลียหน้าตา โดยสัมผัสกับน้ำลายของสัตว์เลี้ยงโดยตรง
            -  จูบสัตว์เลี้ยงบริเวณใกล้ ๆ ปากของเจ้าสี่ขา
            -  ใช้ของร่วมกับสัตว์เลี้ยง เช่น ภาชนะ ผ้าเช็ดตัว หวี เป็นต้น
            - สัมผัสกับสิ่งปฏิกูลหรือซากสัตว์เลี้ยงโดยไม่สวมถุงมือป้องกันเชื้อโรค
            - จูบกับคนที่มีเชื้อแบคทีเรีย helicobacter heilmanni อยู่ในร่างกาย

          ทั้งนี้ ด้าน ดร.คาเรน เบกเกอร์ สัตวแพทย์จากสหรัฐอเมริกายังเผยด้วยว่า ในร่างกายของสัตว์เลี้ยงก็มีเชื้อแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคในระบบลำไส้ของมนุษย์ เช่น เชื้ออีโคไล (E. coli) เชื้อแซลโมเนลล่า (salmonella) แบคทีเรียคลอสตริเดีย (clostridia) และเชื้อแคมพิโลแบคเทอร์ (campylobacter) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคในระบบทางเดินอาหารอย่างโรคท้องร่วง ท้องเสีย และความผิดปกติอื่น ๆ ของลำไส้
     
        ยิ่งไปกว่านั้น ผลการศึกษาจาก Massey University ประเทศนิวซีแลนด์ยังพบว่า สัตว์เลี้ยงสามารถแพร่เชื้อแบคทีเรีย 2 ชนิดที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้ โดยส่งผ่านเชื้อโรคและแบคทีเรียเหล่านี้มาทางน้ำลาย ดังนั้นจึงไม่ควรให้สัตว์เลี้ยงเลียหน้า เลียปาก หรือจูบกับสัตว์เลี้ยงโดยตรง อีกทั้งหากสัมผัสกับน้ำลายของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกาย ก็ควรรีบล้างทำความสะอาดโดยทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียก่อโรค
          อย่างไรก็ตาม แม้เชื้อเหล่านี้จะแฝงอยู่กับสิ่งปฏิกูลของสัตว์เป็นส่วนใหญ่ แต่หากสัตว์เลี้ยงเลียทำความสะอาดร่างกาย รวมไปถึงอวัยวะเพศและทวารหนัก เชื้อก็อาจจะติดมากับน้ำลาย และผ่านเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้จากการจุ๊บกับสัตว์เลี้ยงนั่นเอง

          ดังนั้นเหล่าคนรักสัตว์ก็ควรต้องระวังกับการสัมผัสน้ำลายและสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลี้ยงอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็กเล็ก ๆ หญิงตั้งครรภ์ คนชรา หรือผู้ที่กำลังป่วย โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโรคจากสัตว์เลี้ยงได้ง่ายกว่าปกติ


วิธีทำให้ง่วง สำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับ อยากรู้สึกง่วงเร็ว ๆ จัดไปกับ 19 วิธีนี้


  

          เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าสมควรแก่เวลานอนหลับแล้ว แต่ร่างกายเจ้ากรรมดันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าซะจนข่มตาให้หลับลงไม่ได้ แหมคึกคักข้ามคืนแบบนี้สุขภาพจะแย่เอาสิคะ ถ้าอย่างนั้นมาลองดู 19 วิธีทำให้ง่วงนอนเหล่านี้ดีกว่า พิสูจน์ซิว่าถ้าทำตามนี้แล้วเราจะง่วงนอนเร็วจริงหรือเปล่า

1. ปรับอุณหภูมิให้เย็นลง

          อากาศที่เย็นลงจะช่วยให้รู้สึกง่วงนอนเร็วขึ้นได้ โดยหากมีเครื่องปรับอากาศอยู่ในห้องนอน ลองตั้งอุณหภูมิให้อยู่ราว ๆ 25-26 องศาเซลเซียส หรือหากไม่มีเครื่องปรับอากาศจะใช้วิธีทาแป้งเย็นก่อนนอน หรือนอนเอาเท้าออกจากผ้าห่ม หรือเปิดพัดลมระบายอากาศช่วยก็ได้

2. ปรับแสงสว่างให้ลดลง

          แสงสีเหลืองนวล ๆ สบายตาจะช่วยกล่อมร่างกายให้รู้สึกง่วงนอนได้ ทว่าหากที่บ้านของคุณติดหลอดไฟชนิด daylight ให้แสงสว่างสีขาวจ้า อาจติดโคมไฟสี warm light เพิ่มเติมในส่วนห้องนอน หรือใช้เป็นโคมไฟเล็ก ๆ แทนก็ได้ จากนั้นเวลาจะนอนก็หรี่ไฟให้เหลือความสว่างน้อย ๆ ก็จะช่วยให้รู้สึกง่วงนอนได้
3. อาบน้ำอุ่น

          ใครนอนไม่ค่อยหลับลองเปลี่ยนจากการอาบน้ำเย็นมาอาบน้ำอุ่นบ้างก็ดี เนื่องจากการเพิ่มอุณหภูมิให้ผิวหนังจะช่วยกระตุ้นต่อมง่วงนอนมากขึ้นได้ โดยอย่างน้อย ๆ ควรอาบน้ำอุ่นหรือนอนแช่น้ำอุ่น ๆ ประมาณ 30 นาที

4. เปิดเพลงบรรเลงขับกล่อม

          สำหรับคนกลัวความเงียบจนทำให้นอนไม่หลับ อาจใช้วิธีเปิดเพลงบรรเลงช้า ๆ เบา ๆ กล่อมให้นอนหลับง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ควรตั้งเวลาปิดเครื่องเสียงประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยนะคะ เพราะเราอาจสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงเพลงบรรเลงเหล่านี้ได้เช่นกัน

5. หมั่นทำความสะอาดเครื่องนอน และจัดที่นอนให้นุ่มสบาย

          ถ้าเราได้นอนลงบนที่นอนอันหอมสะอาด หนาหนุ่ม น่าซุกตัวลงไปนอน เจออย่างนี้ต่อให้ตาสว่างก็อาจผล็อยหลับลงได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าละเลยที่จะทำความสะอาดเครื่องนอนทุกชิ้น และจัดที่นอนให้หนานุ่มพร้อมทิ้งตัวลงนอนอยู่เสมอด้วยนะคะ


6. ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนนอน

          การได้ออกแรงเรียกเหงื่อสักหน่อยจะช่วยให้ร่างกายเกิดความอ่อนล้าจนเข้าสู่ภวังค์ของการนอนหลับได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยให้นาฬิกาชีวิตเกิดความสมดุล รู้เวลาหลับเวลาตื่น รวมทั้งการทำงานของระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะฮอร์โมนก็จะดีขึ้นตามลำดับ ร่างกายก็เข้านอนได้ตรงเวลาที่ควรโดยไม่เกิดอาการฝืนนั่นเอง

          แต่ทั้งนี้ก็ควรต้องออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอนด้วยนะคะ เพราะหากออกกำลังกายกระชั้นเวลาเข้านอนเกินไป จะทำให้ร่างกายตื่นตัว พาลให้ข่มตานอนได้ยาก

7. ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอน

          น้ำอุ่น ๆ หรือนมอุ่น ๆ สักแก้วจะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น เนื่องจากนมอุ่น ๆ จะช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้รู้สึกผ่อนคลาย แถมโปรตีนในนมยังช่วยให้อิ่มท้องแบบเบา ๆ ฉะนั้นคนที่นอนไม่หลับเพราะหิวก็จัดไปเลยนมอุ่น ๆ สักแก้ว

          และนอกจากนมอุ่น ๆ จะช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้นแล้ว เราก็ยังมี เครื่องดื่มแก้นอนไม่หลับมาแนะนำกันด้วย โดยดูลิสต์เครื่องดื่มชวนง่วงได้จาก เครื่องดื่มแก้นอนไม่หลับ จัดไปสักแก้วแล้วจะหลับสบาย


8. อิ่มมื้อเย็นด้วยอาหารเบา ๆ

          มื้อเย็นไม่ควรกินอาหารหนักอย่างอาหารประเภทเนื้อหรืออาหารรสจัด เพราะจะทำให้ร่างกายนอนหลับไม่สบายเอาได้ ดังนั้นมื้อเย็นที่ควรรับประทานก็จะเป็นอาหารประเภทผัก ผลไม้ นม หรืออาหารแก้นอนไม่หลับ

9. บริหารนิ้วเท้า

          เท้าเป็นจุดศูนย์รวมเส้นประสาทในร่างกาย และหากใครนอนหลับยากเหลือเกินลองบริหารนิ้วเท้าด้วยการกระดกนิ้วเท้าขึ้น-ลง ไปมาอย่างนี้สักระยะ เผลอแป๊บดียวก็จะหาวพร้อมนอนแล้ว


10. อ่านหนังสือ

          ยิ่งถ้าอ่านหนังสือแนววิชาการหรือหนังสือปรัชญาจะช่วยให้รู้สึกง่วงดีมาก ๆ เชียวล่ะ ไม่เชื่อลองถามเด็ก ๆ ที่ต้องอ่านตำราเรียนดูสิคะ น้อง ๆ จะบอกเป็นเสียงเดียวเลยว่าแค่เปิดหน้าปกหนังสือหนังตาก็หย่อนพร้อมล้มตัวลงนอนได้ทุกเมื่อ ;p

11. ปิดโทรศัพท์มือถือและเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด

          หากใครติดมือถือซะจนต้องเอามานอนด้วยทุกคืน นับจากนี้ไปลองอยู่ห่างจากมือถือสักพัก โดยจะปิดเสียงหรือปิดเครื่องไปเลยก็ได้ แล้วความกระวนกระวายใจที่ทำให้คุณข่มตาลงได้ยากจะหายไป กลายเป็นความง่วงงุนเข้ามาแทนที่

12. เปลี่ยนท่านอนเป็นท่าที่สบาย

          บางครั้งการที่เรานอนหลับได้ยากอาจเป็นเพราะเรานอนผิดท่า หรือเกร็งตัวเวลานอนก็ได้นะคะ งั้นเอาเป็นว่าล้มตัวลงนอนคราวนี้ก็ลองปรับท่าที่ตัวเองรู้สึกว่านอนหลับสบายที่สุด โดยจะนอนตะแคงซ้าย ตะแคงขวา หรือนอนหงายก็เอาที่สบายตัวเลย

13. นอนกอดหมอนข้าง

          จากข้อมูลอ้างว่าการนอนกอดหมอนข้างจะเป็นท่าที่นอนแล้วเป็นธรรมชาติที่สุด ทำให้เราหลับได้ง่ายมากขึ้น โดยบางคนอาจถนัดนอนกอดหมอน กอดตุ๊กตาตัวโปรด หมอนข้าง หรือจะหาคนข้างกายมานอนกอดก็ได้เหมือนกัน อิอิ ;p

14. ใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ

          เสื้อผ้าที่รัดรึงจะทำให้รู้สึกอึดอัดจนนอนไม่หลับได้ ฉะนั้นเวลานอนควรสวมเสื้อผ้าตัวหลวม ๆ สบาย ๆ แทนดีกว่า

15. ปิดทีวี หรือคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน

          หน้าจอทีวี มือถือ หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ต่างก็มีแสงสีฟ้าที่จะเข้ามารบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินในร่างกายได้ นั่นแปลได้ว่าสิ่งที่จะช่วยให้คุณง่วงนอนเร็วขึ้นก็คือการชัตดาวน์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ก่อนเข้านอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวเตรียมเข้านอนตามวิถีของนาฬิกาชีวิต


16. เล่นโยคะแก้นอนไม่หลับ

          การเล่นโยคะไม่เพียงแต่เป็นวิธีออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงเท่านั้น แต่โยคะยังช่วยสงบความว้าวุ่นในจิตใจ ช่วยทำให้เกิดสมาธิ นำเราเข้าสู่ภวังค์แห่งความง่วงงุนได้ง่ายขึ้น

17. งดคาเฟอีนก่อน อย่างน้อย 8 ชั่วโมง

          คาเฟอีนคือสารที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ตื่นตัว ดังนั้นอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีคาเฟอีน ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ ช็อกโกแลต หรืออะไรก็แล้วแต่ เราควรงดกินอาหารเหล่านี้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเข้านอนนะจ๊ะ

18. ปิดการรับรู้จากสิ่งรบกวนรอบตัว

          สิ่งที่ทำให้เรานอนหลับยากอาจเป็นสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เช่น เสียงดังจากบ้านข้าง ๆ แสงไฟตามท้องถนนที่สะท้อนเข้าห้องนอน หรือแม้แต่เสียงทีวีในบ้านเราเองก็ตาม สภาพแวดล้อมที่รบกวนการนอนหลับเช่นนี้อาจทำให้คุณนอนหลับได้ยาก ฉะนั้นลองพึ่งผ้าปิดตาหรืออุปกรณ์ปิดหูเพื่อตัดขาดจากความวุ่นวายรอบตัวดูสิ

19. พึ่งสมุนไพรช่วยให้นอนหลับ

          หากเคยมีอดีตกับยานอนหลับมาแสนนาน ลองเปลี่ยนมาใช้สมุนไพรช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นดีกว่า เพราะนอกจากสมุนไพรจะช่วยกล่อมให้เราง่วงนอนแล้ว สมุนไพรยังมีประโยชน์ดี ๆ กับสุขภาพหลายต่อหลายอย่าง อย่างสมุนไพร 2 ชนิดนี้ ที่ไม่ได้มีดีแค่ช่วยให้นอนหลับสบายเท่านั้นนะจ๊ะ แต่สรรพคุณเขาก็เพียบเลย


ข้อเสื่อมกินแต่ "ยาแก้ปวด-ยาคลายกล้ามเนื้อ" รู้มั้ยเสี่ยงไตวาย!


ข้อเสื่อมกินแต่ "ยาแก้ปวด-ยาคลายกล้ามเนื้อ" รู้มั้ยเสี่ยงไตวาย!

   ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีอาการข้อเข่าเสื่อมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยอายุของผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมลดลงเรื่อยๆ ทำให้สามารถพบปัญหาโรคข้อเข่าเสื่อมได้มากขึ้นในวัยกลางคน
นพ.ธเนศ อมรพิทักษ์กูล ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร เฮิร์บ พลัส คลินิก ให้ข้อมูลว่า ข้อเข่าเสื่อมเกิดจากกระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าเสื่อมสภาพ ไม่สามารถรับน้ำหนักตัว เกิดการสึกหรอของกระดูกจนเข่าโค้งงอ ปวดเวลาเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกปวดเข่าในช่วงแรก แต่พอเริ่มมีอาการปวดจะมีเสียงดังกรอบแกรบในข้อเข่าเวลาเคลื่อนไหว ทำให้เดินลำบาก หากมีอาการมากหัวเข่าจะบิดเบี้ยวผิดรูป หรือขัดในข้อเวลาขยับเข่า

   วิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยยาแผนปัจจุบัน มักให้ยาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือไตวาย ขณะที่การรักษาโดยผ่าตัดเปลี่ยนเข่า มีค่าใช้จ่ายสูง 500,000-600,000 บาทต่อครั้ง และสามารถใช้งานได้เพียง 5-10 ปี ก็จะต้องผ่าตัดเปลี่ยนเข่าใหม่อีกรอบ

   แต่ผู้ป่วยสามารถดูแลด้วยวิธีธรรมชาติได้ เช่น กินสมุนไพรสกัดที่มีส่วนผสมของโสมเกาหลี ตังกุย โกจิเบอรี่ อะเซโรลา เชอรี่ และเจียวกู้หลาน ซึ่งมีสรรพคุณป้องกันข้อเข่าเสื่อม โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสริมสร้างกระดูกข้อเข่าให้แข็งแรง สามารถกินต่อเนื่องได้โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาแผนปัจจุบัน

   อย่างไรก็ตาม สมุนไพรทั้งหมดนี้หากจะให้ออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ต้องนำมาผสมในตำรับสัดส่วนที่พอดี กินทุกวันจึงจะเห็นผล แต่จะไม่เกิดการดื้อยา และไม่เป็นพิษต่อตับและไต



‘วุ้นตาเสื่อม’ภัยเงียบใกล้ตัวมนุษย์เงินเดือน






 'วุ้นตาเสื่อม'ภัยเงียบใกล้ตัวมนุษย์เงินเดือน
    ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนทำงานในเมืองยุคปัจจุบัน ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น ประกอบกับสมัยนี้ยังมีสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตออกมาใช้แพร่หลายไปทั่ว เกิดเป็นค่านิยมสังคมก้มหน้าเสพติดเทคโนโลยีจนแทบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านสุขภาพหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อมซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงาน

   ปกติแล้วในลูกตากลมๆ ของเราจะมีน้ำวุ้นตาเป็นสารใสคล้ายเจลอยู่ภายในลูกตาส่วนหลัง คั่นกลางระหว่างเลนส์กับจอประสาทตา ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน ให้สารอาหารแก่จอประสาทตาและเซลล์ผนังลูกตาชั้นใน และช่วยพยุงลูกตาให้คงรูปเป็นทรงกลม แต่เมื่อน้ำวุ้นตาเสื่อมลง จากลักษณะที่เป็นวุ้นกลายเป็นของเหลว เมื่อเรากลอกตาวุ้นเหล่านี้ก็จะกระเพื่อม จึงเห็นเหมือนมีเงาลอยไปมา ซึ่งอาจมีรูปร่างแตกต่างกันหลายรูปแบบ เช่น จุดเล็กๆ คล้ายลูกน้ำ วงกลม หรือเป็นเส้นๆ คล้ายหยากไย่ หากเป็นมากจะมีอาการเห็นแสงสว่างคล้ายสายฟ้าแลบ และรู้สึกเหมือนขอบเขตการมองเห็นด้านข้างจะแคบลง เนื่องจากจอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก

   โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุจากการเสื่อมตามธรรมชาติของเนื้อเยื่อแต่ก็มีภาวะบางอย่างที่ทำให้เป็นโรคนี้ได้เร็วทั้งที่อายุไม่มากเช่นสายตาสั้นมากๆเคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะรวมถึงคนที่ต้องใช้สายตามากๆเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะคนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์ทำงานบีบคั้นต้องจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆ

   ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานและกรรมการผู้บริหารบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้คิดค้นวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลจากสารสกัดธรรมชาติเพื่อถนอมดวงตา กล่าวว่า จากการศึกษาของการแพทย์สาขาภูมิคุ้มกันวิทยาพบว่า สาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตารวมถึงอาการน้ำวุ้นในตาเสื่อมนั้น เกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวในตัวเราสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (Pro-imflammatory cytokines) มากเกินไป ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและแก้ไขความผิดปกติเหล่านี้ก็คือ การกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ลดการหลั่งสารเหล่านี้ให้น้อยลงจนเข้าสู่ภาวะสมดุล


   การวิจัยล่าสุดของคณะนักวิจัยของบริษัทเอเชียนฯได้ค้นพบนวัตกรรมชื่อว่า“APCOcapsule”และ “APCOessence” ที่สกัดจากพืชธรรมชาติ 5ชนิด มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และบัวบก เมื่อนำมาเสริมฤทธิ์กันจะมีประสิทธิภาพในทำให้เม็ดเลือดขาวลดการหลั่งสารก่อการอักเสบลง

  โดยผลการทดสอบจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ว่า สารที่ก่ออาการอักเสบในเม็ดเลือดขาวมีอัตราลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้ IL-1-beta ลดลง 6%, IL-3 ลดลง 27%, IL-17 ลดลง 45%, TNF-alpha ลดลง 93% และ IFN-gamma ลดลง 10% จึงสามารถช่วยป้องกันและทำให้อาการน้ำในวุ้นตาเสื่อมรวมถึงความผิดปกติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตาดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อาการตาแห้ง ต้อกระจก ต้อหิน ม่านตาอักเสบ จอประสาทตาเสื่อม และความผิดปกติที่สืบเนื่องมาจากอาการแพ้ภูมิตัวเอง เช่น เบาหวานขึ้นตา พังผืดที่ตา เป็นต้น

  จากประสบการณ์ตรงของมนุษย์เงินเดือนที่เกิด ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อมคุณกนกพร ศรีจันทร์ เล่าให้ฟังว่า มีปัญหาวุ้นตาเสื่อมมาตั้งแต่อายุ 40 ปี แรกๆ จะเห็นเป็นหยากไย่ลอยไปมา และมีจุดดำๆ 2-3 จุด เวลากระพริบตาจะรู้สึกหนืดๆ ที่ดวงตา ไปตรวจที่โรงพยาบาลหมอบอกว่า ไม่มีทางรักษาให้หายขาดหรือดีขึ้นได้ มีแต่จะเสื่อมไปเรื่อยๆ ทำได้แต่คอยสังเกตอาการและบรรเทาอาการด้วยน้ำตาเทียมเท่านั้น เป็นแบบนี้มา 13 ปีแล้ว ไม่มียาหรืออะไรที่ช่วยได้เลย
  “ตอนเป็นแรกๆ อาการส่วนใหญ่แค่ทำให้รำคาญ แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตมากเท่าไหร่จนกระทั่งเป็นมากขึ้นมองเห็นจุดดำเพิ่มเป็นสิบๆ จุดเต็มไปหมด และยังเห็นแสงแลบบ่อยขึ้น ก็ยิ่งกลัวเพราะโรคนี้ถ้าเป็นรุนแรงจะมีสิทธิ์ที่จะตาบอดได้เหมือนกัน เวลาอ่านหนังสือ ดูทีวี จะมีปัญหามาก ยิ่งเวลาออกแดด ก็จะสู้แสงไม่ค่อยได้ด้วย

  ด้านคุณอภิญญา อุฬุมปานนท์ เล่าว่ามีปัญหานี้เหมือนกัน ด้วยอาชีพนักบัญชีทำให้ต้องอยู่กับตัวเลขใช้คอมนานๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน พอมาเป็นโรคนี้แล้วค่อนข้างลำบากมาก มองอะไรก็ไม่ชัด แสบตาตลอด ยิ่งเวลาขับรถโดยเฉพาะตอนกลางคืนจะทำแทบไม่ได้เลย เพราะจะแยกแสงไฟบนถนนไม่ได้ว่าเป็นแสงมาจากไหน หมอก็ได้แต่ให้หยอดน้ำเทียมบรรเทาอาการ และแนะนำให้พักผ่อนมากๆ และใช้สายตาให้น้อยลงซึ่งก็ทำได้ยากด้วยหน้าที่การงาน

  ศ.ดร.พิเชษฐ์ ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ในภาวะทำงานที่หลีกเลี่ยงการใช้สายตาเป็นเวลานานๆ ได้ยาก สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อป้องกัน ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อม คือ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และที่สำคัญ  ต้องรู้จักใช้ดวงตาอย่างทะนุถนอม ไม่ควรใช้สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอนานๆ อาจใช้วิธีพักสายตาด้วยการหลับตาสักครู่ หรือปรับโฟกัสมองไกลๆ บ้าง ร่วมกับการนวดคลึงเบาๆ และไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะการตรวจพบตั้งแต่แรกเริ่มจะช่วยให้การดูแลรักษาทำได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาสามารถเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ฟรี ณ ศูนย์รับปรึกษาปัญหาข้อ เข่า เบาหวานและดวงตา ถนนรัชดาภิเษก โทร 1154