โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ชื่อของโรคก็บ่งบอกให้ทราบอย่างชัดเจนแล้วใช่ไหมละคะว่า
หากมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ป้องกัน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ โรคนี้สามารถเป็นได้ทุกเพศ
ทุกวัย ไม่แบ่งแยกชนชั้นค่ะ
แต่ก่อนที่จะไปทำความรู้จักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ
เรามารู้จักกับสาเหตุของการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
1. เกิดจากเชื้อไวรัส
ซึ่งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ไวรัสบางชนิดไม่มียารักษา
บางชนิดยังสามารถฝังตัวอยู่และกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
2. เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ
3. เกิดจากเชื้ออื่นๆ
เช่น พยาธิ สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมีเยอะมากค่ะ แต่วันนี้เรามีเลือก 4 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทั้งสาวๆ
และหนุ่มๆ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ มาฝากกัน
1. โรคซิฟิลิส
โรคซิฟิลิส
เกิดจากเชื้อทรีโพนีมา พัลลิดุม (Treponema
pallidum) มีรูปร่างคล้ายกับเกลียวสว่านใหญ่กว่าเชื้อแบคทีเรียทั่วไป
โรคซิฟิลิสสามารถเกิดขึ้นได้กับเพศชายและเพศหญิง และเป็นได้ทุกแห่งของร่างกาย
ไม่เฉพาะแต่ที่อวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น แม้แต่ตามลิ้น มือ แขน ขา
รวมทั้งระบบประสาท หัวใจ เส้นเลือด ตา กระดูก ฯลฯ ก็เป็นได้หมดค่ะ
ในบางรายกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ก็เป็นไปมากแล้วก็มีค่ะ
ลักษณะอาการ
ระยะที่ 1 จะมีแผล เรียกว่า แผลริมอ่อน มีลักษณะเป็นวงกลมขนาดเล็ก นิ่ม
มีขอบแผลนูนแข็ง แต่จะไม่มีอาการคันหรือเจ็บแต่อย่างใด
แผลริมอ่อนจะเกิดขึ้นบริเวณเยื่อมูกของอวัยวะเพศ บนผิวหนัง ในปากหรือริมผีปาก
ในผู้หญิงอาจเป็นโรคซิฟิลิสโดยไม่รู้ตัว เพราะจะพบแผลในบริเวณปากมดลูกหรือบริเวณช่องคลอด
ซึ่งมองไม่เห็นและไม่รู้สึก ในระยะนี้
แผลจะหายเองได้แม้ปล่อยให้ทิ้งไว้โดยไม่รักษา แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงอยู่ในร่างกาย
ระยะที่ 2 เชื้อจะเข้าไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ
แล้วเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ในบางรายจะปรากฏอาการผื่นขึ้นตามตัวที่เรียกกันว่า
"ออกดอก" ผื่นมีสีแดงหรือจุดสีน้ำตาลแดง
ผื่นนี้มีลักษณะต่างกับผื่นลมพิษหรือการแพ้สารต่างๆ คือ ไม่มีอาการคัน
และอาจปรากฏที่ฝ่ามือหรือฝ่าเท้าด้วย แต่บางครั้งอาจไม่มีผื่นขึ้นเลย
แต่จะเกิดอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามข้อ
ผมร่วง ฯลฯ
การตรวจเลือดจะพบการเปลี่ยนแปลงที่แสดงปฏิกิริยาให้ผลบวกของน้ำเหลืองสูงมาก
ถ้ายังปล่อยละเลยทิ้งไว้ ไม่ได้รับการตรวจรักษาอย่างถูกต้องจากแพทย์
โรคจะสงบอยู่ระยะหนึ่ง ระยะนี้เชื้อโรคจะหลบอยู่ตามอวัยวะต่างๆ แต่ก็ยังไม่ปรากฏอาการ
เรียกว่า ระยะแฝง ซึ่งจะทราบผลได้จากการตรวจเลือดเท่านั้น
ระยะที่ 3 การเปลี่ยนจากระยะที่ 2 เข้าสู่ระยะที่ 3 อาจกินเวลานานหลายปี
แต่ในระยะนี้ผู้ป่วยจะได้รับความทุกข์ทรมานด้วยอาการของหลายระบบในร่างกาย อาทิเช่น
บนผิวหนังจะมีก้อนนูน แตกเป็นแผลเหวอะหวะ ซึ่งจะกลายเป็นแผลเป็นทำให้เสียโฉม
จมูกโหว่ กระดูกผุ อาจหูหนวก ตาบอด สติปัญญาเสื่อม สมองพิการจนถึงขั้นอัมพาต
หรืออาจเป็นบ้าก็ได้ ที่สำคัญอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ถ้าโรคซิฟิลิสเกิดขึ้นที่หัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว หัวใจวาย เส้นเลือดหัวใจโป่งพอง
นอกจากนี้ ในสตรีที่ตั้งครรภ์ ถ้าเป็นซิฟิลิส เชื้อซิฟิลิสจะถ่ายทอดผ่านทางรก
ทำให้ทารกป่วยด้วยโรคนี้ โดยทารกอาจตายในครรภ์หรือถ้าหากคลอดออกมาแล้ว
อาจจะพิการตลอดชีวิต
การรักษา
ทันทีที่สงสัยว่าเป็นโรคซิฟิลิส
ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบปัสสาวะ หรือแพทย์โรคผิวหนังตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว
อาหารหรือการรักษาด้วยตัวเองไม่สามารถรักษาโรคซิฟิลิสให้หายขาดได้ ยาต่างๆ
ที่ใช้รักษาควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ในช่วงระยะที่ 1 ของโรค
หลังจากได้รับยาแล้ว แพทย์ระบุว่าโรคซิฟิลิสหายแล้ว ผู้ป่วยยังต้องมาพบแพทย์ทุกๆ 3 เดือน เพื่อตรวจหาเชื้อโรคซิฟิลิสที่อาจจะแอบแฝงอยู่
เพื่อให้แน่ใจว่าหายขาดแล้ว ระหว่างการรักษาโรคซิฟิลิส
ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด งดการมีเพศสัมพันธ์
เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น
โรคซิฟิลิสเมื่อหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่
โรคซิฟิลิสเมื่อรักษาหายแล้วยังสามารถกลับมาเป็นได้อีก
หากผู้ป่วยอยู่ในความเสี่ยงหรือปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง
ทำให้กลับมาติดโรคซิฟิลิสได้อีกครั้ง ดังนั้นหากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยง
หรือมีแบบสัมพันธ์แบบเสี่ยง
ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเข้าสู่การรักษาขั้นต่อไป
2. โรคหนองใน
ลักษณะอาการ
ลักษณะของโรคหนองใน
ในเพศชายและเพศหญิงมีการแสดงออกของอาการที่แตกต่างกัน
ในเพศชาย
เริ่มด้วยอาการขัดเบา เจ็บแสบท่อปัสสาวะทุกครั้งที่ปัสสาวะ
ที่ปลายอวัยวะเพศตรงบริเวณปากท่อปัสสาวะจะอักเสบแดงและมีหนองไหลเยิ้ม
บางครั้งจะมีหนองข้นจนคล้ายเส้นขนมจีน หนองจะไหลอยู่ประมาณ ๑-๒ สัปดาห์
ถ้าไม่ได้รับการรักษา หนองก็จะเริ่มลดน้อยลง แต่อาการอักเสบเวลาถ่ายปัสสาวะยังคงมีอยู่
หากปล่อยปละละเลยอาจกลายเป็นหนองในเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองจะบวมเจ็บ ปวดตามข้อ
บางรายมีผื่นคันขึ้นตามตัว
ในเพศหญิง
อาจจะไม่มีอาการอะไรเลย หรือมีแต่เพียงอาการแสบเวลาปัสสาวะ
บางรายอาจจะมีหนองไหลออกมาแต่มักคิดตัวเองว่าตกขาว ส่วนใหญ่อาการในผู้หญิงจะน้อยกว่าในผู้ชายมากจนทำให้หลายคนไม่คิดว่าเป็นโรคนี้
จึงอาจส่งผลลุกลามต่อไป เช่น อักเสบในอุ้งเชิงกราน ทำให้ปีกมดลูกอักเสบ
มดลูกอักเสบ ปวดมดลูก ช่องท้องอักเสบ รังไข่อักเสบ ปวดเมื่อยหลัง
ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีไข้
การรักษา
คุณสาวๆ และหนุ่มๆ
สามารถเข้ารับการตรวจดูได้ว่าเราเป็นโรคหนองในหรือไม่ โดยนำปัสสาวะหรือหนองไปตรวจ
หรือนำไปเพาะเชื้อ
เนื่องจากผู้ที่ป่วยโรคหนองในแล้วมักจะเป็นโรคหนองในเทียมร่วมด้วย
จึงควรทำการรักษาทั้งสองโรคไปพร้อมกันโดยรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างครบถ้วน
เพราะเชื้ออาจมีการดื้อยามากขึ้น และเช่นเดียวกับโรคซิฟิลิส
โรคหนองในเมื่อรักษาหายแล้วอาจกลับมาเป็นได้อีก และที่สำคัญเมื่อเป็นโรคหนองในแล้ว
อาจเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นกับร่างกาย จึงไม่ควรนิ่งนอนใจต่อโรคนี้กันนะคะ
หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาต่อไป
3. โรคหนองในเทียม
โรคหนองในเทียม
เกิดจากเชื้อคลามีเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia
trachomatis) นอกจากนี้ยังมีเชื้อยูเรียพลาสมา
ยูเรียไลทิคุม (Ureaplasma urealyticum) ด้วย
ลักษณะอาการ
มักจะมีอาการแสบหรือรู้สึกขัดเวลาถ่ายปัสสาวะและมีหนองใสๆ
บางรายมีอาการคันในท่อปัสสาวะ หรือมีรอยแดงๆ บริเวณปากท่อปัสสาวะ
มักมีหนองไหลในตอนเช้าๆ และเช่นเดียวกับโรคหนองใน
คือในเพศหญิงมักจะไม่แสดงอาการเท่าเพศชาย
นอกจากนี้ถ้ามารดามีเชื้อที่บริเวณปากมดลูก ทารกที่คลอดผ่านออกมาจะได้รับเชื้อเข้าตา
ทำให้เกิดตาอักเสบในระยะแรกคลอด และหากทารกไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
อาจเกิดโรคกับอวัยวะระบบอื่นได้ เช่น ปวดบวม
การรักษา
เมื่อพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคนี้จะต้องให้ยารักษาจนครบกำหนด
และแนะนำให้คู่สมรสมาตรวจรักษาด้วย ในระยะที่มีอาการควรงดการมีเพศสัมพันธ์และการใช้ถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันโรคได้
4. โรคเอดส์
โรคเอดส์
หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า
เอชไอวี (HIV - human immunodeficiency
virus) ซึ่งจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง
ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ที่เป็นโรคเอดส์เสื่อมลง
ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้
ลักษณะอาการ
อาการของโรคเอดส์เกิดจากมีเชื้อโรคอื่นๆ
ฉวยโอกาสจากร่างกายของผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง
อาการแสดงมีหลายรูปแบบด้วยกันคือ อาการทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ
อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อุจจาระร่วงแบบเป็นๆ หายๆ ติดต่อกัน อาการทางระบบ
ประสาทส่วนกลาง มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
ซูบผอม อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และอาจมีต่อมน้ำเหลืองโต
หรือในบางรายอาจพบว่ามีมะเร็งบางชนิดเกิดขึ้นก็ได้
การติดต่อ
เชื้อไวรัสของโรคเอดส์จะอาศัยอยู่ในเลือด
น้ำอสุจิ และน้ำลายของผู้ป่วย การติดต่อส่วนใหญ่ติดต่อกันโดยการร่วมเพศกับผู้ป่วย
และพบมากในกลุ่มรักร่วมเพศ (homosexual) นอกจากนี้
อาจเกิดการติดต่อของโรคผ่านทางการรับเลือดจากผู้ป่วย
การใช้เข็มฉีดยาที่สกปรกร่วมกัน
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ติดยาเสพติดที่ต้องฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือด
เชื้ออาจเข้าทางแผลในปาก โดยการจูบกับผู้ป่วย
และถ้ามารดาป่วยก็สามารถถ่ายทอดเชื้อนี้ไปสู่ทารกในครรภ์ได้
การป้องกันและควบคุมโรค
1. หลีกเลี่ยงการร่วมเพศกับผู้ป่วยหรือสงสัยว่าป่วย
หรือที่อยู่ในแวดวงใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์
2. หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาเข้าเส้นร่วมกันในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
3. หลีกเลี่ยงการจูบปากกับผู้ที่สงสัยว่าป่วยเป็นโรคเอดส์
4. ผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคเอดส์
ห้ามบริจาคหรือให้เลือดกับผู้อื่น
ที่มา : บทความความรู้ทางการแพทย์
จากโรงพญาบาลพญาไท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น